การเรียนรู้ไม่มีสิ้นสุด ทั้งข้างนอกและข้างใน

หลายเดือนก่อน ไปสอนที่มหาลัยแห่งหนึ่ง ในห้อง นักศึกษาประมาณ 70% ไม่สนใจฟังเลคเชอร์ มีทั้งเล่นมือถือ หลับ จับกลุ่มคุยกันเอง ส่วนคนตั้งใจฟังก็ตั้งใจ๊ตั้งใจ มีอยู่กลุ่มนึง นั่งข้างหน้าๆ
.
ภาพที่เห็นทำให้เราช็อคเล็กน้อย เพราะไม่เคยเจอแบบนี้ แต่ก็ยังบรรยายไป พูดไปช็อคไป ปล่อยวางตลอดเวลา แล้วด้วยความที่เราไม่ได้สนิทกับอาจารย์ที่ชวนไปสอน เราเลยไม่ได้เตือนเด็ก เราปล่อยให้ห้องมันเป็นแบบนั้น เพราะตอนนั้นเราเองก็ติด เราไม่มีอิสระ กลัวว่าถ้าพูดไปแล้วจะเกิดผลกระทบอะไรกับอาจารย์ไหม เพราะอาจารย์ก็ไม่เห็นเตือน แถมเราซื้อเรื่องราวที่ได้ยินมาด้วยว่า เด็กที่นี่ไม่ได้สนใจจะเรียนจริงๆ ครอบครัวมีฐานะ มาเรียนเพราะไม่รู้จะเรียนอะไรดี
.
วันนั้นเรียกว่าใจสลาย เดินหมาหงอยกลับบ้าน ใจสลายเพราะผิดหวังในตัวเอง ว่าทำไมเราถึงปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ หลายชั่วโมงแห่งความทรมานและไม่มีอิสระ ไม่ทำในสิ่งที่ควรจะทำ ไม่หยุดแล้วคิดว่าจะทำอะไรได้บ้าง ไม่ปรึกษาอาจารย์ ไม่ยืนเพื่อพวกเขา ทำไมเราถึงซื้อเรื่องราวนั้นวะ ทำไมเราถึงตัดสินพวกเขาวะ
.
กลับมานั่งคุยกับตัวเอง กับพี่ภัท บัดดี้เรา จนได้ปล่อยวางการตัดสินทั้งมวล ปล่อยวางการโทษตัวเองด้วย ตั้งใจว่าถ้ามีสอนครั้งต่อไป เราจะเป็นต้นเหตุให้เขาได้บางอย่างไป – ความรู้ ความเข้าใจใหม่ ความสัมพันธ์ใหม่กับตัวเอง อะไรก็ตามที่เขาต้องการจากเรา (รวมถึงสิ่งที่เขาไม่รู้ว่าต้องการด้วย) เราจะไม่ตัดสินพวกเขา แต่เป็นเราเองนี่แหละ จะสร้างบทสนทนาที่มันอินสปายให้เขาฟังและตั้งใจเรียน
.
หลังจากนั้นเรามีสอนอีก 2 แห่ง ซึ่งนักศึกษาตั้งใจเรียนมาก (ตั้งแต่ต้น ด้วยตัวเอง) ดามหัวใจเราไปได้ 2 แมตช์ 555
.
เมื่อวันก่อนมีสอนอีกที่นึง เป็นครั้งแรกที่ได้ไป ซึ่งบรรยากาศหลายอย่างทำให้เรานึกถึงมหาลัยใจสลายนั้น เช่น การที่นักศึกษามาสาย (มาก) หรือบทสนทนาที่ว่านักศึกษาไม่ค่อยตั้งใจเรียน เพราะที่นี่ไม่ต้องสอบเข้า หรืออะไรก็ตาม
.
ครั้งนี้เราจับตัวเองได้ว่าเราไม่ได้ซื้อเรื่องราว ไม่ได้ตัดสิน แต่นั่งฟังจริงๆ จากโลกของอาจารย์ เราเข้าใจอาจารย์สุดๆ อาจารย์มี commitment อย่างมาก อยากให้เด็กได้ดี แต่หลายอย่างที่เด็กทำก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง ซึ่งเราก็ไม่ได้ตัดสินเด็กจากสิ่งที่ได้ยิน
.
เรามีเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง ลำพังสไลด์ที่เตรียมมาก็น่าจะอัดแน่นมากแล้ว แต่เราเปลี่ยนใจ ยังไม่เข้าเนื้อหา ขอคุยกับเขาก่อน เราอยากฟังว่าพวกเขาอยู่ตรงไหนกันบ้าง
.
เราถามถึงชีวิตของเขาก่อน ถามว่าเขามาเรียนคณะนี้เพราะอะไร และพบว่า พวกเขาส่วนใหญ่ยังไม่ได้เห็นภาพอนาคตของตัวเองว่าจบมาจะทำอะไร ยังไม่รู้รายละเอียดของอาชีพต่างๆ ที่สามารถเป็นได้ มาเรียนเพราะชอบวาดรูป ชอบงานออกแบบ ถึงตอนนี้ที่เรียนมา 2-3 ปี ก็คิดว่ามาถูกทางอยู่
.
เราเลยเล่าเรื่องเก่าๆ สมัยเราเรียน ทำธีสิส วันสัมภาษณ์งาน ตอนทำงานในบริษัท สมัยเป็นฟรีแลนซ์ ให้ฟัง ให้เห็นภาพกว้างๆ ซึ่งเรื่องที่เราเล่า ทำให้เราเองสัมผัสถึง 2 อย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ
.
อย่างแรกคือ ความรู้คือภูมิคุ้มกันของเรา การที่เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เพราะอะไร คือพื้นฐานที่มั่นคงของการทำงานทั้งมวล (อันนี้จากการเล่าเรื่องในวันสัมภาษณ์งานเอเจนซี่ใหญ่ ที่เราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ CD พูด และเราก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าเพราะอะไร ซึ่ง…คาดว่ามันทำให้เราได้งานซะงั้น ฮา)
.
อย่างที่สอง วัยนักเรียนนักศึกษา เป็นช่วงชีวิตที่บริสุทธิ์ที่สุด จะทำอะไรก็มีแต่คนเอ็นดู อยากรู้เรื่องอะไรก็มีแต่คนสนับสนุน (อันนี้จากการเล่าเรื่องตอนทำธีสิส) ขอให้ทำให้ช่วงเวลานี้มีคุณค่าที่สุดในชีวิตนะ
.
ปกติเวลาบรรยายเรื่องงานออกแบบ packaging เราจะพูดเรื่อง branding ไปด้วยเสมอ เพราะมันเป็นพื้นฐานที่จะทำให้งานออกแบบแข็งแรง และทุกครั้งเราก็จะทำให้เห็นภาพง่ายๆ ว่าแบรนด์คือคน และให้พวกเขาคิดถึงตัวเองในฐานะที่เป็นแบรนด์แบรนด์นึง ว่าสิ่งที่คุณคิดว่าคุณเป็น คนอื่นเขาเห็นคุณเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ถ้าคุณบอกว่าคุณป็นคนรับผิดชอบ คนอื่นเขาเห็นคุณเป็นแบบนั้นไหม ชื่อเสียงของคุณเป็นอย่างไร การกระทำของคุณมันสอดคล้องหรือเปล่า
.
เอาง่ายๆ จากการมาให้ตรงเวลา มันคือการสื่อสารอย่างหนึ่ง และอย่างใหญ่เลย มนุษย์อีกคนเขาจะคิดว่าคุณเป็นอย่างไร ก็จากเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เพราะสำหรับเขา มันอาจจะไม่เล็กน้อย มันคือการให้เกียรติเวลาของคนอื่น พอๆ กับที่ให้เกียรติคำพูดของตัวเอง และเรื่องเล็กๆ แบบนี้แหละ ที่จะทำให้คุณมีพลัง หรือไม่มีพลังในชีวิต ไม่เชื่อลองดู
.
สิ่งที่เวิร์คในวันนั้นคือ เราไม่มีการตัดสินเลย เราไม่โทษว่าเขาผิดเลย ไม่ว่าจะเรื่องมาสายหรือนั่งหลับ (หลับเราปลุกด้วยนะ ไปล้างหน้าไหม กินหมากฝรั่งไหม ?) เราคุยสนุก เราเข้าไปในโลกของเขา เราให้เขาเข้ามาในโลกของเรา เพื่อให้เขาเห็นอีกมุมนึง และในขณะเดียวกัน เราก็ตรงไปตรงมา เรามีหลายบทสนทนาที่ตีแสกหน้า แต่เป็นการตีด้วยความรักนะจ๊ะ ? และวันนั้น พวกเขาตั้งใจฟังมาก เพราะเขารู้ว่าเราอยู่กับเขาตรงนี้จริงๆ
.
ก่อนจบน้องๆ มีคำถาม หนึ่งในนั้นคือ อะไรคือสิ่งที่เรายึดถือในการทำงานและการใช้ชีวิต อืมๆๆ เป็นคำถามที่ดี เราไม่เคยคิดรวบรวมขนาดนั้น แต่ก็ตอบไปประมาณว่า – หนึ่ง ทำงานให้เต็มที่ที่สุด มันเป็นการให้เกียรติตัวเอง / สอง commitment ของเราคือ ใครอยู่กับเราเขาจะมีความสุข มีพลัง และได้พัฒนาตัวเอง / สาม เราไม่ทำสิ่งผิดที่ทำให้คนเดือดร้อน (เช่น ไม่รับงานเหล้าบุหรี่ เป็นต้น) / สี่ เราให้เกียรติคำพูดตัวเอง
.
วันนั้นเดินออกมาอย่างหมาที่ชนะ ชนะตัวเองแล้ว มีลู่ทางใหม่แล้ว ดีใจและขอบคุณตัวเองที่ปล่อยวางและเป็นต้นเหตุให้มันเกิดขึ้น
.
เราเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างนึงในชีวิตนักศึกษา คือบทสนทนาที่ทำให้เขาฉุกคิด ที่ทำให้เขาอยากทำอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เขาอินสปาย เพราะเราก็เคยมีประสบการณ์แบบนั้นมาก่อน เราจำอาจารย์พิเศษบางคนได้ไม่ลืมจนถึงวันนี้ เราไม่ได้อยากให้เขาจำเรา เราแค่อยากให้เขาได้ประกายอะไรบางอย่างไป แล้วเอาไปต่อยอดเอาเอง เพราะสำหรับเรา เขาเป็นผู้ใหญ่ที่โตแล้ว และเขาสามารถ ถ้าเขาต้องการอะไรก็ตาม เขาจะทำมันได้ ไม่เชื่อลองดูนะจ๊ะ ❤️

Share on facebook
Facebook
Share on twitter
Twitter

Related Articles

หนึ่งในเรื่องสำคัญของเรา

ไม่นานมานี้ มีบริษัทนึงติดต่อมา เป็นบริษัทมหาชน บอกว่าสนใจให้เราทำงานให้ เราก็เอ๊…เขาน่าจะมีบริษัททำอยู่แล้วนะ เขาอยู่มานาน เป็นที่รู้จักไปทั่วหัวระแหง เขาจะให้เราทำอะไรเหรอ แถมบอกว่าจะเข้ามาเจอเราที่ออฟฟิศด้วยอีกต่างหาก ?

Read More »

Do It With You

เมื่อวานนี้มีไปทำ branding workshop ให้ลูกค้ารายนึง ที่เห็นเหมือนบ้านนี่เพราะว่าเป็นบ้านจริงๆ 🙂 (ขอเซ็นเซอร์ภาพผู้เกี่ยวข้องด้วยการครอปเห็นแค่เฉพาะหน้าฝนคนเดียวนะคะ) ลูกค้ารายนี้เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุประมาณ 30

Read More »

ความท้าทายของธุรกิจครอบครัวในยุคนี้

เมื่อหลายเดือนก่อน มีทายาทโรงงานแห่งหนึ่งโทรมาหาเรา เขาบอกว่าเขาเห็นงานของยินดีแล้วอยากรีแบรนด์มากเลย อันตัวเขาเนี่ยเป็น gen 3 เป็นลูกคนโต ธุรกิจของเขาเป็นธุรกิจครอบครัว ทุกคนในตระกูลมาช่วยกัน แบรนด์นี้ขายดีอันดับ

Read More »